รีวิว Attack on Titan the Final Season Part 3.1 ผ่าพิภพไททัน สวัสดีครับเพื่อนๆ เรากลับมาอีกครั้งกับการรีวิวอนิเมะ Attack on Titan ภาคไฟนอลของไฟนอล และอาจไม่ใช่ไฟนอล เอาจริงแล้วผมก็เริ่มจะสับสนเล็กๆแล้วว่าเราควรจะเรียกมันว่าอะไรดี แต่ว่าช่างมันเถอะครับผมรอได้เสมอ ขอแค่มันออกมางานดีแล้วก็เนียบ เราแอบหวังไว้เยอะจริงๆครับกับ Attack on Titan นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมตัดสินใจหยุดงานมังงะแล้วรอดูเวอร์ชั่นอนิเมะแบบเต็มๆ จะได้ไม่โดนสปอยล์ก่อน พอดูจบก็ค่อยไปอ่านตามเก็บทีหลังเอาละกันครับ สำหรับ Attack on Titan Final Season Part3 เป็นยังไงบ้าง ก่อนอื่นอยากให้ดูหน้าคุณ ยูฮิชิโร่ ฮายาชิ ผู้กำกับภาค Final ก่อนครับ ดูถูกใต้ตาแกสิครับ ได้หลับได้นอนบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นห่วงสุขภาพอาจารย์จริงๆครับ ดูอนิเมะ
รีวิว Attack on Titan ทีมาของอนิเมะซีรี่ส์นี้
บอกไว้ก่อนว่าปกติแล้วส่วนตัวผมไม่ชอบการแบ่งตอนแบบนี้เท่าไหร่ เพราะทำให้รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันขาดตอนยังไงชอบกล ผมตั้งแง่ไว้แบบนี้เลยครับ ถ้าจะมาแนวนี้ต้องแบบทีเดียวปล่อยให้หมดเลย มันจะดีกว่าหรือเปล่า เอาแบบหนังสั้นก็ได้แต่ไม่ใช่เหมือนตักแบ่งอาหารจากจานใหญ่แล้วเอามาแยกกันแบบนี้ครับ แต่พอดูจบผมคิดว่า Attack on Titan Part 3 นี้ ทำได้ดีมากๆเลยนะครับ
ถึงแม้จะตัดจบด้วยฉากที่สุดแสนจะคาใจ และฉากแอคชั่นที่น้อยไปหน่อย แต่เรื่องราวระหว่างทางของมันดีจริงๆเราเข้าใจตัวละครอย่างเอเลนมากขึ้น ซีซั่นนี้เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ทุกอย่างถูกปูไว้ตั้งแต่ภาคก่อนๆ คิดดูแล้วกันว่ามันเยอะขนาดไหน ไม่ว่ากี่ซีซั่นกี่ตอนเอามารวมกันที่นี่หมดเลยครับ ดำเนินเรื่องผ่านตัวละครอย่างเอเลนนี่แหละ ผมเป็นคนที่ดูหนังแล้วเขาจะขี้สงสัยมากๆครับ ดูไปก็จะถามไปตลอด และทุกๆครั้งที่ตั้งคำถาม ฉากต่อไปขอ Attack on Titan ก็เหมือนจะให้
คำตอบได้ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าในเวอร์ชั่นมังงะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วหรือเปล่า แต่สาเหตุที่เป็นแบบนี้ได้เพราะผู้สร้างวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดีครับ เขารู้ว่าจะทำให้ผู้ชมคิดแบบไหน แล้วจะตอบมันอย่างไร นี่คือผลงานที่สร้างมาอย่างละเอียดถึ่ถ้วนเหลือเกินครับ ผมมั่นใจมากเลยทีเดียว เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องนะครับ
ฉากพิภพคำรามที่อลังการงานสร้างเกินจะบรรยาย
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะพูด นั่นก็คือฉากพิภพคำรามนี่แหละครับ ซีซั่นก่อนเรายังเห็นแค่เสี้ยวเดียว แต่ว่าตอนนี้มันกลายเป็นโครงหลักไปเลย ภาพถูกฉายขึ้นไปในมุมกว้างเป็นภาพเหมือนฟิวส์หนังสงครามครับ เราจึงได้เห็นความใหญ่โตแบบเต็มๆ ขอสารภาพด้วยจินตนาการอันน้อยนิดว่า ตอนแรกที่รู้ว่าพิภพคำรามคือจำนวนไททันที่มากกว่า 10 ล้านตัว ตัวเลขเนี่ยผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นะครับ แต่น่าจะราวๆนี่แหละ พวกมันกรีฑาทัพออกไป เดินผ่านทุกสิ่งทุกอย่างของโลก ผมพอจะเป็นภาพออกว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากๆระดับภัยพิบัติเลย แต่มนุษย์เราก็อาจหาญสามารถต้านทานมันได้หรือเปล่า อย่างพวกกำบังลมพายุ และที่สำคัญเลยก็ และที่สำคัญก็คือไอเทมสุดโกงอย่างเรือเหาะที่เราเห็นกันอยู่ในเรื่อง ของพวกนี้น่าจะพอช่วยให้เรารอดพ้นไททันไปได้หรือเปล่า
แต่พอได้ดูจริงความประทับใจแรกของผมก็คือความอลังการของมัน ทุกอย่างมันดูใหญ่โตเอามากๆครับ บอกเลยว่า Attack on Titan Part 3 ผมดูไป 3 เลยครับ รอบแรกบนจอคอมพ์ อีก 2 รอบดูบนทีวีขนาดจอประมาณ 50 นิ้ว แต่การดูในทีวีมันให้ฟิวดีกว่าเยอะเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากพิภพคำรามนี่แหละ กรอแล้วกรออีกชอบมากๆครับ ลองคิดว่าถ้าตัวเองเป็นชาวบ้านเราจะทำยังไงให้หนีพ้นกำแพงไททันนี้ไปได้ ทุกอย่างกะทันหันไปหมด ตัวยักษ์ไททันแม้จะตัวใหญ่เก้งก้างแต่ระยะการเคลื่อนที่ก็ไม่ช้าเลย พอเข้าใกล้ก็เจอความร้อน อีกฉากย่ำเท้าช้าๆของพวกมันเหมือนกำลังบ่งบอกว่าจะไม่มีใครสามารถรอดตายไปได้อย่างแน่นอน มันดูรัดกุมกว่าที่ผมคิดเอาไว้มากทีเดียว ถ้าผมเป็นชาวมาเลย์ก็คงจะนั่ภาวนาอย่างเดียวแล้วล่ะ แต่ก็เชื่อเหมือนกันว่า แฟนๆช่องเราอาจจะคิดได้นะครับว่าจะทำยังไงถึงจะรอดจากพิภพคำรามนี้ได้ ลองส่งมาบอกแล้วกันหน่อยนะครับ เพราะวันไหนเจอจริงๆก็จะได้ลองเอาไปใช้บ้าง
ส่วนตัวเอเลนส์ที่ตอนนี้เนี่ยกลายเป็นไททันบรรพบุรุษ ก็ดูน่าขนลุกของเรามากๆเลยครับ บวกกับหมอกควันเวลาเดินในฉากสุดท้ายของเอพพิโสดเนี่ย เราจะได้เห็นกองทัพไททันจากที่ไกลๆเจอเสียงสั่นสะเทือนและควันที่ลอยออกมา มันให้ฟิวส์การเผชิญกับภัยพิบัติจริงๆครับ มันยิ่งใหญ่ น่าสิ้นหวังและไร้หนทางต่อต้าน แต่แอบเสียดายนิดหน่อยครับที่เราได้ดูมันน้อยไป จริงๆก็อาจจะเยอะแล้วแต่เราอาจจะรู้สึกว่าอยากอยู่มากกว่านี้ครับ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เราอาจจะได้เห็นมันมากกว่านี้ในเอพพิโสดหน้าก็ได้ ยังไงก็คาดหวังอยู่เหมือนกันนะครับ
สรุปความประทับใจหลังชมอนิเมะจนจบ
สรุปกันเลยดีกว่า ผมรู้สึกพอใจมากๆครับกับตอนนี้ของไททัน สำหรับผมแล้วเนี่ยมันไม่ใช่แค่ตอนอุ่นเครื่องหรือการรอปิดฉาก แต่วมันเป็นตอนที่มีเรื่องราวที่อยู่จับต้องได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของตัวละครอย่างตัวเอเล็น เขามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ทำไมถึงตัดสินใจทำเรื่องที่ถือว่าโหดร้ายมากๆอย่างนี้ อยากคุยเรื่องนี้มานานแล้ว หลังจากที่ดูพาร์ท 3 จบ ผมก็คิดว่ามันน่าจะถึงเวลาสักที มีข้อมูลมากมายถูกบอกเล่าในตอนนี้ เดี๋ยวเราจะต้องมาคุยกันแบบฉากต่อฉากอีกที โดยอิงจากหนังอีกเรื่องหนึ่งที่มีตัวเอกคล้ายๆกันด้วย เอเล็นมีความคล้ายกับตัวละครในหนังเรื่องนั้นจนหน้าแปลกใจเลยทีเดียว พอจะเดากันได้ไหมครับว่ามันคือเรื่องอะไร ใบ้ให้ว่าเป็นหนังที่มาจากนิยายไซไฟ แต่ว่าขออุบไว้ก่อนแล้วครับ
เดินทางมาจนถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วนะครับ สำหรับหนึ่งในอนิเมชั่นแห่งชาติอย่าง ผ่าพิภพไททัน หลายคนอาจไม่รู้ว่า ทีมงานเราก็ดูเรื่องนี้ด้วยเหรอ พวกเราติดตามมาตั้งแต่สมัยเป็นมังงะแล้ว สำหรับ Attack on Titan เรื่องนี้ คำว่าชอบอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ ต้องเรียกได้ว่าหลงรักเลยก็ว่าได้ และรีวิวนี้เราจะมาพูดถึงตอนล่าสุดของมันครับ กับ Final Season Part 2 ในชื่อตอนคนทรยศนั่นเองครับ เป็นอีกตอนที่ผมรู้สึกว่าชอบมากเลย ดังนั้นรีวิวอาจจะมีการสปอยเนื้อหาเล็กน้อย ถ้าหากคุณไม่เคยดูก็คงจะไม่รู้เรื่องอย่างแน่นอน สำหรับใครที่ยังไม่เคยตามมังงะเรื่องนี้ ยังมีเวลาอยู่นะครับ รีบตามมาโดยด่วน สำหรับคอซีรีส์และคออนิเมชั่นไม่มีความรู้สึกไหนจะยอดเยี่ยมเท่ากับการได้เฝ้ารอดูจุดจบของเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมไปก็พร้อมกับคนอื่นแล้วครับ
การโฟกัสที่สองตัวละครหลักทำได้อย่างราบรื่นน่าติดตามอย่างมาก
ในตอนคนทรยศนั้นไม่ได้มีฉากต่อสู้ที่อลังการมากที่สุดกว่าตอนอื่น ไม่ได้มีการพลิกล็อคหักมุมเฉลยปมสุดลึกลับที่น่าตะลึงเหมือนตอนอื่นๆครับ กลับกันมันเป็นตอนที่เล่าเรื่องราวของตัวละครตัวรองๆ เป็นพล็อตรองๆด้วยซ้ำ แต่ทำไมมันถึงยอดเยี่ยมในสายตาของพวกเรา มารีวิวกันเลยดีกว่าครับ
เอพพิโสดนี้จะโฟกัสไปที่คณะต่อต้านของอามิน ที่เป็นการรวมตัวกันระหว่างเอเดรียกับพวกของหัวหน้าึคันจิและฝั่งมาเลย์ก็คือพวกของกาบิ และรวมถึงนายพลด้วยนะครับ เป้าหมายก็คือการหยุดยั้งเอเลนในการล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ ข้อนี้เนี่ยจะไม่พูดถึงเรื่องว่าคุณอยู่ฝั่งไหนทีมไหน คณะต่อต้านหรือว่าฝั่งเอเลน และจะไม่พูดว่าการกระทำของใครนั้นถูกผิดครับ คุณมีคำตอบในใจของตัวเองแล้วแน่นอน แต่ในเรื่องนี้มีจุดที่แน่ชัดอย่างนึงก็คือ การที่พวกอามินนั้นเลือกที่จะหยุดเอเลน มันเป็นการทรยศพวกเดียวกันอยู่กลายๆ จึงเป็นประเด็นว่าไม่ใช่ชาวเอเลนทุกคนที่เห็นด้วยกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่การกระทำนี้เป็นการกระทำเรื่องเผ่าพันธุ์ของพวกเขาอย่างแน่นอน การต่อต้านเท่ากับเป็นการขัดขวางผลประโยชน์ของพวกของตัวเอง
อีกทั้งพวกของฟล็อบ ผมอยากจะขอเรียกเขาว่าลัทธิคลั่งเอเลนแล้วกันนะครับ พวกเขาเห็นด้วยกับแผนการล้างเผ่าพันธุ์อย่างเต็มที่ และพร้อมจะกำจัดทุกคนที่ขัดขวาง เราเห็นถึงความขัดแย้งนี้ไหมครับ แม้แต่พวกเดียวกัน เผ่าพันธุ์และสังคมเดียวกัน ก็มีความคิดที่แตกต่างกันได้ แต่ในสภาวะเช่นนี้มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการปะทะกัน และเกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่เหตุการณ์ท่าเรือ ที่พวกอามินต้องการเรือเหาะเพื่อตามไปอยู่พวกไททันที่กำลังจะถล่มโลก
แต่ว่าเรื่องนั้นมันไม่ง่ายเพราะพวกเขานั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกคลั่งเอเลน เราได้เห็นฉากของสถานการณ์นี้แล้วว่ามันเสี่ยงแค่ไหน พวกของฟ็อกซ์นั้นก็ไม่ได้โง่ครับ พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะมีศัตรูที่มองไม่เห็น แล้วก็เตรียมพร้อมเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครตามไปหยุดเอเลนได้ทัน ท่าเรียนแห่งนี้และเรือบินเป็นหนทางเดียวจะออกจากเกาะนี้ได้ กลุ่มคลั่งลัทธิก็ไม่ลังเลที่จะระเบิดเกาะนี้ทิ้งไปทันทีที่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติแม้แต่นิดเดียว ทางเลือกของคณะต่อต้านนั้นก็มีไม่มากนักต้องประสานกับพลังของพวกทหารไททันแล้วก็หน่วยสำรวจจู่โจมแบบฉับไวรวดเร็ว พวกเขาต้องฆ่าหน่วยคุ้มกันทุกคนโดยที่ไม่ให้ทันได้ตั้งตัวครับ นี่คือหนทางเดียวจริงๆที่จะชิงสิ่งที่ต้องการมาได้ ซึ่งมันก็ง่ายเลย เหมือนการที่เราพยายามจะเดินไต่ลวดเส้นเดียวข้ามตึก แถมยังมีปัญหาอีกอย่างนึงก็คือฝั่งเอเดรียและอามินจะสามารถหาอาวุธเข้าห่ำหั่นกับพวกตัวเองได้จริงๆหรือ แล้วอีกฝ่ายแม้จะมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ก็เคยเป็นพวกเดียวกันเคยสู้ด้วยกัน เรียกว่ากินข้าวหม้อเดียวกันมาก็ว่าได้ครับ จะให้มาฆ่ากันนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ลำบากใจ มันจะมีหนทางที่ดีกว่านี้ไหม
ฉากสุดท้ายเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ
ในจุดนี้ผมก็เลยสงสัยว่าสถานการณ์ที่มันตึงเครียดและมีข้อจำกัดขนาดนี้ มันจะมีหนทางอื่นจริงๆหรือเปล่า หรือว่าพวกตัวเอกจะโชว์อภินิหารแล้วทำให้เรื่องทุกอย่างนั้น มันผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนกับอนิเมชั่นทั่วไปเรื่องอื่นหรือเปล่า และสำหรับอนิเมะเรื่องนี้ไม่ปล่อยให้เรารอนานครับ แค่ฉากถัดไปเราก็ได้เห็นอามินและคอนนี่ที่ขี่ม้าเข้ามาที่ท่าเรือด้วยท่าทีแตกตื่นพร้อมกับร้องขอให้ปลดการคุมการเรือและพวกวิศวกรครับเนื่องจากว่ามีเหตุด่วน ต้องบอกว่านี่เป็นแผนการที่ห่วยแตกสุดๆครับ พิรุธขนาดนี้ใครจะไปเชื่อ ดูสีหน้าตัวละครแต่ละคนครับ ทั้งฝั่งฟ็อกซ์และตัวละครของอามีนเอง รวมไปถึงข้อนี้ก็ด้วยแต่ละคนนั้นทำสีหน้าเลิ่กลั่กกันแบบสุดๆ ถ้าเป็นสีหน้าของคนที่มีอะไรบางอย่างปิดบังเอาไว้ครับ อย่างที่บอกครับทั้งคู่ยังรู้อยู่แล้วว่าแผนการนี้มันห่วยแตกสิ้นดี
บทสรุปภาพรวม รีวิว Attack on Titan the Final Season Part 3.1
ถ้าในสภาวะปกติเนี่ย พวกเขาไม่เลือกทำแผนนี้แน่ เหตุผลง่ายๆเลยก็คือ พวกเขาไม่อยากจะฆ่าพวกของตัวเองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น และจุดจบของเหตุการณ์นี้ก็อย่างที่เราได้เห็น มันเกิดการต่อสู้กันระหว่าง 2 ฝ่าย และความหมายของคนทรยศในบทสรุปก็ไม่ได้หมายความว่าคนทรยศจะต้องเป็นตัวร้าย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นฝ่ายอธรรม ตอนจบนี้ไม่ได้มีจุดพลิกแผนอะไรมากมาย แต่เต็มไปด้วยความหมาย การซ่อนปมรวมถึงการวางแผนกลยุทธ์มันยอดเยี่ยมจริงๆ ซึ่งพล็อตรองมันไม่ง่ายเลยนะครับที่จะทำให้มันน่าสนใจได้ เหมือนเรากำลังดูหนัง Godzilla และต้องมาดูคนที่น่าเบื่อนั่นแหละครับ
ถ้าไททันสามารถทำได้และใช้ทรัพยากรอย่างจำกัด แค่เวลาไม่ถึง 10 นาทีนั้น กับตัวละครประกอบที่เราแทบจะไม่เคยเห็นหน้า ไอ้เจ้า 2 คนที่เฝ้าเรือเหาะเนี่ย ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะว่ามีอยู่ ถ้าตายไปใครจะสนครับ แต่ทุกอย่างก็ถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครหลักอย่างอามินและคอนนี่นี่แหละ ความยากในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆแค่นั้นมันทำให้ทุกอย่างมันมีน้ำหนักแล้วก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ ซึ่งหลายๆคนอาจจะมองข้ามจุดนี้ไป
ก็ไม่แปลกเลยเพราะถ้าจะตามตรงมันก็ไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องขนาดเท่าไหร่ ไม่ใส่ใจก็ไม่เห็นเป็นอะไรแต่สำหรับผมที่ชอบมองเรื่องเล็กๆพวกนี้แล้วก็รู้สึกคุยกับมันออกมาเลยทีเดียว ผมคิดเสมอว่าสิ่งเล็กน้อยพวกนี้เมื่อมันรวมตัวกัน มันก็จะส่งผลมหาศาลและอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงชอบเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้ตัว ยังมีอีกหลายฉากในเรื่อง Attack on Titan ที่มีแนวคิดแบบนี้อยู่มากเหมือนกันครับ